"แผนที่นำทางขยับลงมาสู่กลุ่มผู้ใช้ที่หลากหลายสำหรับเอไอเอสลูกค้ากลุ่มแรกที่จะโฟกัส"
ในระยะหลังมานี้ที่ตลาด "สมาร์ทโฟน" และ "แทบเล็ต" ออกตัวแรงแบบฉุดไม่อยู่ ได้มีแอพพลิเคชั่นด้านแผนที่นำทางจากค่ายต่างๆ
เปิดตัวออกมาให้ยลโฉม และลองใช้กันดูว่ามีดีซุกซ่อนอยู่ โดยที่ผ่านคุณสมบัติการทำงาน
ชนิดเรียกได้เต็มปากว่าเข้ากับไลฟ์สไตล์บ้านๆ ของคนไทยล่าสุดมีโอเปอเตอร์รายใหญ่อย่างบมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (AIS) ขอร่วมลงสนามลุยอีกราย
"AIS Guide and Go" แผนที่นำทางบนมือถือที่เจ้าของเขาว่าเป็นเทคโนโลยี "โซเชียล เนวิเกเตอร์" แอพพลิเคชั่นแรกของโลกมาเล่าสู่กันฟัง รายแรกในโลก นายปรัธนา ลีลพนัง รักษาการผู้ช่วยกรรมการอาวุโส ส่วนงานผลิตภัณฑ์และบริการดิจิตอล เอไอเอส เล่าว่า เอไอเอสจับมือบริษัท จีไอเอส ซอฟต์ จำกัด พัฒนา "AIS Guide and Go" แอพพลิเคชั่นสำหรับการนำทางที่ผสมผสานระหว่างโลกโซเชียลและแผนที่เข้าไว้ด้วยกันเป็นครั้งแรกของโลก ขณะนี้สามารถใช้ได้แล้วกับระบบปฏิบัติการณ์แอนดรอยด์
เวอร์ชั่น 2.2 ขึ้นไป ส่วนไอโฟนต้องรอประมาณไตรมาสที่ 4
ขณะที่ระบบปฏิบัติการอื่นๆ ทั้งวินโดว์สโฟน
และแบล็คเบอร์รียังไม่มีแผนการพัฒนา สาเหตุที่ตัดสินใจเข้ามาทำตลาดดังกล่าวเนื่องจากเห็นว่า
การเติบโตการใช้งานสมาร์ทโฟนช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมามีทิศทางที่ดีมากโดยปี
2553 เทียบกับปีก่อนหน้าเติบโตที่ 17% ปี 2554 เติบโต 25% ส่วนปี 2555
คาดว่าจะโตอีก 47-50% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนผู้ใช้ราว 13%
ถึงสิ้นปีจะเพิ่มขึ้นอีก 5 ล้านเครื่อง
“พฤติกรรมการใช้งานโซเชียล เน็ตเวิร์ค
รวมไปถึงเทรนด์การใช้งานมือถือเป็นแผนที่ และระบบนำทางของคนไทย
ที่นิยมเช็คอินตามสถานที่ต่างๆ เพื่อบอกให้ผู้อื่นรู้ว่าทำอะไร อยู่ที่ไหน
แสดงให้เห็นว่าคุ้นเคยกับเทคโนโลยีโลเคชั่นเบสเป็นอย่างดี
จนกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว และอยู่ในไลฟ์สไตล์ทุกๆ วัน”
ทั้งนี้สำหรับเอไอเอสลูกค้ากลุ่มแรกที่จะโฟกัสคือผู้ใช้นำทางในรถยนต์ส่วนตัว
และกลุ่มที่สองคือกลุ่มผู้ใช้สมาร์ทโฟนทั่วไปที่เป็นฐานลูกค้าของบริษัท
มั่นใจว่าแอพนี้ จะเป็นประโยชน์กับผู้ใช้บริการทุกกลุ่ม
เปลี่ยนมุมมองใหม่จากเดิมที่รู้สึกว่ายาก เป็นง่ายกว่าเดิม
บริษัทตั้งเป้าว่าภายใน 12
เดือนแรกนี้จะมีผู้สนใจเข้ามาใช้งาน 2-3 แสนคน หรือ 10-20%
ของผู้ใช้สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์และไอโอเอสที่คิดเป็นสัดส่วนราว 50%
ของฐานลูกค้าสมาร์ทโฟนทั้งหมดที่มีอยู่ประมาณ 4
ล้านเครื่องเมื่อจบไตรมาสที่ 1
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น